Deprecated: parse_str(): Passing null to parameter #1 ($string) of type string is deprecated in /var/www/vhosts/korpungun.com/demo.korpungun.com/wp-content/plugins/chaty-pro/includes/class-frontend.php on line 2192

Deprecated: parse_str(): Passing null to parameter #1 ($string) of type string is deprecated in /var/www/vhosts/korpungun.com/demo.korpungun.com/wp-content/plugins/chaty-pro/includes/class-frontend.php on line 2192

Deprecated: parse_str(): Passing null to parameter #1 ($string) of type string is deprecated in /var/www/vhosts/korpungun.com/demo.korpungun.com/wp-content/plugins/chaty-pro/includes/class-frontend.php on line 2192

Deprecated: parse_str(): Passing null to parameter #1 ($string) of type string is deprecated in /var/www/vhosts/korpungun.com/demo.korpungun.com/wp-content/plugins/chaty-pro/includes/class-frontend.php on line 2192
เคล็ดลับจ่ายน้อยกว่าคนอื่นในแคนาดา เรียนต่อเมืองใหญ่ไม่แพ้ใครที่ Calgary

101 Facts! เคล็ดลับจ่ายน้อยกว่าคนอื่นในแคนาดา เรียนต่อเมืองใหญ่ไม่แพ้ใครที่ Calgary!

Photo Credit : Kyler Nixon on Unsplash

ถ้าหากคุณอยากไปเรียนต่อแคนาดา แต่อยากเซฟคอร์ส หรือกำลังมองหาเมืองที่มีค่าใช้จ่ายในราคาประหยัดกว่าที่อื่นๆ บทความนี้จะช่วยคุณในการตัดสินได้อย่างมาก มาทำความรู้จักเมือง Calgary กันเถอะ

อธิบาย Calgary

1. เปิดเรื่องมาก็คงงงว่าอะไรคือคาลแกรี่ (Calgary) นี่เป็นชื่อรัฐ ชื่อจังหวัด หรือชื่ออะไร รู้อย่างเดียวว่าอยู่ในแคนาดาตามที่บอกเอาไว้

2. ‘คาลแกรี่’ เป็นเมืองหนึ่งอยู่ในรัฐอัลเบอร์ต้า

3. ไม่ว่าจะ คาลแกรี่ / แวนคูเวอร์ / โตรอนโต / มอนเทรอัล ทุกอย่างล้วนเป็นชื่อเมืองหมด ไม่ใช่ชื่อรัฐ ซึ่งปกติคนไทยก็จะรู้จักเพียงไม่กี่เมือง

4. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรามักจะเชื่อว่าความสะดวกสบายจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตและระบบสาธารณูปโภคดีๆ เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกเมืองต้องมี

ความเป็นมาต่างๆ

5. กลับมาที่คาลแกรี่ คนแคนาดาเขารู้ดีว่าที่นี่เป็นเมืองคือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในปี ค.ศ. 1914 เพราะค้นพบแหล่งน้ำมัน

6. คาลแกรี่เลยเป็นเมืองใหญ่ลำดับที่ 5 ของแคนาดา มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน

7. แต่ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเจริญแค่ไหน ค่าครองชีพในเมืองนี้มีอัตราต่ำว่าทั้งแวนคูเวอร์และโตรอนโต

8. สาเหตุสำคัญมาจากการเก็บภาษีที่เขาเสียแค่ 5% จากภาษีสินค้าและบริการเท่านั้น

9. ในขณะที่ชาวเมืองแวนคูเวอร์ต้องเสียภาษี 12% และโตรอนโตต้องเสียภาษีสูงถึง 13%

10. อธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้คือ แต่ละรัฐสามารถกำหนดเองได้ว่าต้องเสียภาษีอะไร ในอัตราเท่าไหร่บ้าง

11. แคนาดาแบ่งภาษีออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ PST (ย่อมาจาก Post-Tax Price หรือภาษีในรัฐเพิ่มเติม) / GST (ย่อมาจาก Goods and Service Tax หรือภาษีสินค้าและบริการ) / HST (ย่อมาจาก Harmonized Sales Tax หรือภาษีการขายแบบกลมกลืน)

12. เวลาเอาพวกค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน ค่าของใช้มาเทียบกันเมืองต่อเมือง ราคาสินค้าชนิดเดียวกันในคาลแกรี่จึงถูกกว่าที่อื่น ถึงแม้ดูเป็นค่าเงิน CAD อาจไม่ได้สูงมาก แต่เมื่อเทียบเป็นเงินไทยก็ใช้ได้เลยทีเดียว

13. ด้วยความที่คาลแกรี่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมนำมัน พลังงาน และเหมืองแร่ ทำให้สถาบันทางการเงินต่างๆ มาลงทุนที่นี่เพื่อรองรับความเจริญ การขนส่งเลยได้ผลประโยชน์ไปด้วย

14. Canadian Pacific Railway หรือผู้ให้บริการรถไฟข้ามทวีปมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองนี้ เริ่มสร้างทางรถไฟเชื่อมเมืองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1884

15. ระบบขนส่งสาธารณะเลยเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพื่ออำนวยความสะดวกคนในเมือง ถนนสำหรับการเดินรถถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 หรือตรงกับประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5

การเดินทาง

16. ถ้าใครเคยมาเมืองนี้จะรู้ดีว่าเขาให้ความสำคัญกับฟุตบาธมาก ถูกออกแบบและสร้างมาอย่างดี รวมทั้งเลนจักรยานก็ถูกออกแบบให้มีมานานแล้วด้วย

17. เขาให้ความสำคัญกับการเดินของคนในเมืองขนาดสร้างสกายวอล์คสูง 5 เมตรยาว 16 กิโลเมตรไว้ทั่วเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกเวลาหิมะตกหนักจนฟุตบาธใช้การไม่ได้

18. หน้าตาของสกายวอลค์บ้านเขาไม่ได้อยู่เดี่ยวๆ เหมือนเมืองไทย แต่ออกแบบมาให้สามารถเข้าตึกนั้นทะลุออกตึกนี้ได้ เรียกว่าเชื่อมต่อเมืองแบบลอยฟ้าด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

19. แผนผังการเดินรถที่คาลแกรี่คือน่าอิจฉามาก คนไทยจินตนาการไม่ออกหรอกว่าการคมนาคมที่สะดวกสบายมันทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ยังไง

20. นอกจารรถบัสและรถไฟที่มีให้บริการมากสายและทั่วถึงแล้ว CTrain (บางคนเขียน C-Train) คือที่สุดที่อยากนำเสนอ

21. CTrain เป็นรถรางวิ่งทั่วเมืองคาลแกรี่ เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 คือเจริญมาตั้งแต่เรายังไม่เกิดกันเลยอะ!

22. สิ่งที่สังเกตได้อย่างหนึ่งนะ ถึงแม้ว่าระบบขนส่งเขาจะดีแค่ไหน แต่รถไฟเขาก็วิ่งกับพื้นถนนนี่ละ ไม่ได้ยกสูงเหมือนรถไฟฟ้าในบ้านเรา

23. ข้อดีก็คือมันไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และไม่บังทัศนียภาพอันสวยงามในเมือง รถไฟฟ้าวิ่งรางยกสูงก็มีอยู่ แต่เราเอาไว้วิ่งเส้นนอกเท่านั้น

24. มีผู้ใช้ CTrain วันละ 300,000 คน เยอะมาก รถรางมีทั้งหมด 2 เส้น แบ่งเป็น 45 สถานี รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 60 กิโลเมตร

25. อัตราค่าโดยสารายเที่ยวอยู่ที่ 3.5 CAD (ประมาณ 90 บาท) ราคานักเรียนอยู่ที่ 2.4 CAD (ประมาณ 60 บาท) หรือถ้าซื้อตั๋วรายเดือนในราคาผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 109 CAD (ประมาณ 2,850 บาท)

26. ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำเขาอยู่ที่วันละ 3,136 บาท (คำนวณจากค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงคือ 392 บาท x 8 ชั่วโมงการทำงานต่อวัน) ค่าโดยสารรถสาธารณะเขาตกอยู่ที่วันละ 95 บาทเท่านั้น

27. แล้วลองมองกลับมาที่บ้านเรา… นี่ยังไม่รวมว่าเขามี ‘ตั๋วรายปี’ สำหรับผู้สูงอายุในราคา 145 CAD คิดเป็นเงินไทยคือ 3,793 บาท ตกเดือนละ 316 บาทเท่านั้น เมืองที่ให้ความสำคัญกับประชาชนหน้าตามันเป็นอย่างนี้นี่ละ

28. ที่เราเน้นเรื่องระบบขนส่งมากๆ เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า การเดินทางที่สะดวกมันลดความเครียดในการเรียนหรือการทำงานได้จริงๆ ใครที่จะมาเรียนต่อหรือย้ายมาอยู่ที่นี่คือลดความกังวลไปได้มากเลย

Photo Credit :  Billy Hudy on Unsplash

ที่ตั้งของ Calgary

29. เล่าซะยาวจนลืมบอกภาพรวมไปเลย คาลแกรี่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา คือถ้าหันหน้าเข้าแผนที่โลกจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ

30. เพื่อนบ้านร่วมทิศก็จะมีแวนคูเวอร์ ซึ่งอยู่ถัดไปทางซ้ายมืออีก ด้านล่างเป็นอเมริกา ตรงกับรัฐมอนทาน่า เยื้องๆ กับเมืองซีแอทเทิล

31. เมืองทางฟากนี้จะแอบอยู่ไกลจากโตรอนโต ออตตาวา มอนเทรอัล แต่ข้อดีคือหน้าหนาวไม่หนาวมาก อากาศอบอุ่นและแดดออกมากกว่า

สภาพอากาศ

32. อุณภูมิในหน้าหนาวก็ติดลบเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่าฝั่งโตรอนโต ประมาณ -5 ถึง -15 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางวัน และ -30 ถึง – 40 ในช่วงเวลากลางคืน ส่วนหน้าอุณหภูมิสูงสุดในหน้าร้อนอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส ถ้าบางปีอากาศแปรปรวนก็จะร้อนหรือหนาวกว่านี้ แต่ปกติวิ่งเท่านี้แหละ

33. พอพูดถึงเรื่องสภาพอากาศ มีเรื่องหนึ่งที่อยากแชร์ รู้ไหมว่าคาลแกรี่เคยเป็นเมืองที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุดในแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 48% ของทั้งประเทศ แบบสูงมาก

34. ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเป็นฮับอุตสาหกรรมน้ำมันและอื่นๆ ที่ต้องมีการเผาไหม้ ในอดีตที่โลกของเรายังไม่รู้จักกับสภาวะโลกร้อน อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนเลยสูงขนาดนี้

35. ยังไม่รวมว่าประชากรผลิตขยะคิดเป็นมูลค่า 80,000 บาทต่อคนต่อปี เขาเลยรู้สึกแล้วว่าอยู่อย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหวแล้ว

36. เทศบาลเมืองคาลแกรี่เลยมีแคมเปญออกมารณรงค์ให้ลดปริมาณการทิ้งขยะ แยกขยะ รีไซเคิลขยะ จนในที่สุดได้รับเลือกเป็นเมืองที่สะอาดที่สุดในโลกเมื่อปี ค.ศ. 2007 โดยนิตยสาร Forbes

37. 13 ปีผ่านไป การร่วมมือร่วมใจของคนทั้งเมืองทำให้ตัวเลขการฝังกลบขยะในปี ค.ศ. 2020 ลดลงถึง 80% ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงปัญหานี้ด้วย

38. รัฐบาลเพิ่มเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในเนื้อหาการเรียน พาเด็กๆ ไปทัศนศึกษาที่ภูเขากองขยะนอกเมือง และรณรงค์ให้ใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อลดมลพิษ การเปลี่ยนแปลงมันใช้เวลาแต่ผู้ที่ได้ประโยชน์คือทุกคนในเมืองนี้

การศึกษา

39. สำหรับเรื่องการศึกษา แคนาดาเป็นประเทศที่มีมาตรฐานเรื่องการเรียนการสอนสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ จะมีสถาบันการศึกษาลำดับต้นๆ ของประเทศตั้งอยู่

40. University of Calgary คือมหาวิทยาลัยประจำเมืองดีกรี Top Rank ติดลำดับที่ 7 จาก 50 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศแคนาดา และอยู่ในลำดับ 9 จากมหาวิทยลัยที่ดีที่สุดซึ่งก่อตั้งมาไม่เกิน 50 ปี

41. SAIT หรือ Southern Alberta Institute of Technology คืออีกหนึ่งสถาบันการศึกษาที่เล่าอยากพูดถึง (จริงๆ มีใน KPG แล้ว ตามไปอ่านต่อได้ที่ https://demo.korpungun.com/partnership/sait/#)

42. ที่นี่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1916 ในฐานะโรงเรียน Polytechnic เน้นการเรียนการสอนแบบลงมือทำ ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็เทียบได้กับสถาบันอาชีวะในประเทศไทย แต่อาชีวะศึกษาที่แคนาดาคือมีคุณภาพสูงมากเช่นกัน

43. ในแต่ละปีจะมีนักเรียนมาลงทะเบียนมากกว่า 50,000 คน จากทั้งหมด 15 วิทยาเขต มีนักศึกษาต่างชาติ 163 ประเทศ และมีโปรแกรมสำหรับนักเรียนนานาชาติให้เลือกกว่า 75 หลักสูตร

44. ว่ากันว่าอัตราจ้างงานของนักศึกษาที่จบจากสถาบันแห่งนี้มีสูงถึง 91% และบริษัทต่างๆ ก็มีความต้องการคนที่จบจากแห่งนี้ด้วย

45. ส่วนที่พักก็มีให้เลือกว่าจะอยู่หอนักศึกษาที่เขามี หรือจะอยู่ในเมืองก็ได้ เพราะการเดินทางไปเรียนใช้เวลาเพียง 10 นาทีโดยรถสาธารณะ

เทศกาลต่างๆ

46. พูดเรื่องเรียนแล้วก็ต้องพูดเรื่องเที่ยว โดยเฉพาะนักเรียนต่างชาติที่จะมาใช้ชีวิตสัก 1-2 ปี ก็ควรที่จะรู้ว่ามีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง ยิ่งงานที่จัดปีละครั้งนี่พลาดไม่ได้เลย ปีแรกไปเอง อีกปีอาจจะพาเพื่อนหรือครอบครัวไปเที่ยวด้วย

47. เนื่องจากเป็นเมืองที่อากาศดีแบบหน้าหนาวก็ไม่หนาวเกินไป ชาวคาลแกรี่เลยชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งมากๆ ตัดพวกเดินห้างหรือช้อปปิ้งออกไปก่อน นี่คือสถานที่และงานที่ควรไปเมื่อมาถึงคาลแกรี่แล้ว

48. ‘Calgary Stampede’ หรืองานวัดสไตล์คาวบอย จัดในเดือนมกราคมช่วงหน้าร้อนของทุกปี มีทั้งงานออกร้าน เครื่องเล่น โชว์อลังการ เป็นอีเว้นท์ใหญ่สุดของเมืองนี้แล้ว

49. บางคนอาจจสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นคาวบอย อย่างงี้ ต้องเล่าย้อนกลับไปไกลหน่อย ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงวัวมานานมาก คือถ้าออกนอกเมืองไป ก็จะเห็นเลยว่าภูมิประเทศเป็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา

50. ทุ่งหญ้าแบบนี้เป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ทางตอนใต้ฝั่งตะวันออกของประเทศแคนาดา ครอบคลุมกว้างไกลถึง 3 รัฐ สะท้อนว่าเป็นเขตอบอุ่นจริง คนที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนี้จึงนิยมเลี้ยงวัว แกะ ปลูกพืชผลทางการเษตรไว้ขาย

51. ยิ่งถ้ามองย้อนกลับไปโดยใช้แว่นนักโบราณคดี ดินแดนแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มาหลายพันปี มีอารยธรรมของตัวเอง ชาวยุโรปผู้มาบุกเบิกประเทศแคนาดาก็พบกับชนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก โดยเรียกพวกเขาว่า พ่อค้าขนสัตว์

52. โอเค กลับมาที่งานวัดต่อ ไฮไลท์ของ Calgary Stampede คือขบวนพาเหรดคนใส่ชุดคาวบอยขี่ม้าสุดอลังการ แล้วก็มีการแสดงเกี่ยวกับสัตว์ซึ่งทำสืบเนื่องกันมาเกือบร้อยปี

53. การแสดงที่ว่าคือพวกขี่ม้า จับม้า ขี่กระทิง แข่งม้า แล้วคนที่มางานก็จะแต่งตัวธีมคาวบอยเก๋ๆ จริงๆ มาเดินเล่นเอาบรรยากาศ ถ่ายรูปก็สนุกแล้ว ใครที่ไม่ชอบการบังคับสัตว์ก็ไม่ต้องเข้าไปดูโชว์

54. Folk Festival ก็ชิวนะ สำหรับคนชอบฟังเพลง รักเสียงดนตรี หรือชอบบรรยากาศรวมตัวกัน จัดขึ้นทุกเดือนกรกฎาคมเหมือนกันที่สวน Price’s Island Park มีศิลปินจากทั้งในรัฐอัลเบอร์ต้า และแคนาดามาร่วมงานมากมาย

55. อ้อ จะบอกว่าใครที่ชอบดนตรี ที่คาลแกรี่เขามี National Music Centre ด้วยนะ เอาไว้เรียนรู้เรื่องดนตรี ได้ทดลองเล่นเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆ คนเมืองนี้เค้าอินกับเรื่องดนตรีมาก มี Canadian Music Hall of Fame ไว้จัดคอนเสิร์ตบ่อยๆ ด้วย

56. อีกงานที่พีค สนุก และสวยมากๆ คือ Chinook Blast เป็น Winter Festival ที่จัดตอนสิ้นปี จัดยาวๆ เลยปีละ 6 วีค มีทั้งอาหาร แกะสลักน้ำแข็ง แล้วก็กิจกรรมที่จะเวียนมาทุกสัปดาห์ เช่น ดนตรีคลาสสิก หรือประดับไฟไว้เดินดูตอนคริสต์มาส

57. พูดถึงหน้าหนาวแล้ว เกือบลืมบอกไปว่าเมืองคาลแกรี่เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาวด้วยเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งอิมแพ็กมาก เพราะทำให้คนรู้จักเมืองนี้ และคนในเมืองก็ชอบออกไปเล่นกีฬาฤดูหนาวมากเลย

58. อธิบายเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับภูมิศาสต์ว่า เมืองคาลแกรี่มีเทือกเขาร็อกกี้พาดผ่าน ซึ่งตรงนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกแห่ง ในฤดูหนาวคนเค้าก็จะไปเล่นกีฬาบนหิมะตรงนี้กัน ใครไม่เคยลองขอให้ลอง ทั้งสนุก ทั้งตลก

59. ส่วนเทือกเขาร็อกกี้ในฤดูอื่นๆ ก็สวยไม่แพ้กันเลยนะ ใครไม่เคยเห็นภูเขาใหญ่โตเต็มตาต้องมาสักครั้ง จะมาเดินเที่ยว ปิกนิก หรือนั่งรถไฟหรู 2 วัน 1 คืนทัวร์เลยก็ได้ แต่อันหลังจะแพงหน่อย ถ้าไม่รวยก็ทำอย่างอื่นเอา

60. กลับมาที่กิจกรรมในฤดูหนาวอีกนิด เค้ามี WinSport ให้เอาไว้ไปเล่นพวกสกีหรือสโนว์บอร์ดตอนหน้าหนาวนะ ที่นี่เคยเป็นสนามกีฬาแข่งในปี 1988 นั่นละ แล้วก็พัฒนามาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงกีฬา ในหน้าร้อนตรงนี้ก็เอาไว้ปั่นจักรยานเสือภูเขา บรรยากาศดีมาก

Photo Credit : Justin Hu on Unsplash

สถานที่ท่องเที่ยว

61. ส่วนใครที่เพิ่งมาถึงและเที่ยวเล่นในเมืองก่อน คาลแกรี่ก็มีสถานที่ให้ไปเดินเล่นแบบเยอะมาก

62. เริ่มที่ The Calgary Tower ที่ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมือง หอคอยสูง 190 เมตรตั้งเด่นเป็นสง่า ขึ้นไปชมเมืองแบบ 360 องศา พื้นเป็นกระจก เสียวขามากๆ ที่นี่ยังเป็นจุดเค้าท์ดาวน์ของทุกปี พลุจะถูกยิงจากหอคอยนี่เลย

63. The Calgary Zoo สวนสัตว์กลางเมือง มีสัตว์มากกว่า 270 ชนิด รวมเป็นพันตัว ถ้าตั้งใจเดินจริงๆ ใช้เวลาครึ่งวัน ไว้มากับเพื่อนหรือมาเดทก็ได้

64. Calaway Park สวนสนุกประจำเมือง เอาจริงที่นี่ไม่ได้ว้าวมากถ้าเทียบกับสวนสนุกในเมืองใหญ่ที่อื่น บรรยากาศเหมือนแดนเนรมิตร หรือสวนสยามบ้านเราแหละ แต่มาเดินเอาบรรยากาศ ดูคน ขึ้นเครื่องเล่นนิดหน่อยให้ลมตีหน้าก็พอ

65. สวนสาธารณะ Prince’s Islands Park หรือสถานที่จัดงาน Folk Festival ที่บอกไปก่อนหน้านี้ ที่นี่เอาไว้มานั่งปิกนิก อ่านหนังสือ หรือนอนโง่ๆ พักผ่อนในวันหยุดก็ยังได้ อากาศดีมาก

66. ใครชอบขี่จักรยานแนะนำให้ขึ้นมาที่ Nosehill Park เป็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางเมืองเลย พอขึ้นมาบนนี้จะเห็นวิวทั้งเมืองในอีกมุมหนึ่ง ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในสวนกลางเมืองที่ใหญ่สุดของแคนาดา วันหยุดคนอาจจะเยอะหน่อย มาขี่จักรยานหรือเดินออกกำลังกาย

67. ถ้าอยากผจญภัยในวันเดียว แนะนำให้ปั่นลงเขาแล้วมาที่ Heritage Park Historical Village ห่างจาก Nosehill 20 กิโลเมตร ใช้เวลาปั่นจักรยานประมาณ 1 ชั่วโมง

68. ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์มีชีวิต โชว์ความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน มีรถไฟให้นั่ง มีเรือให้ขึ้น คาเฟ่เก๋ๆ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่คนคาลแกรี่รักมาก และมักมาเที่ยวกับครอบครัวในวันหยุด

69. ส่วนใครที่เป็นสายเนิร์ดและเป็นนักล่าห้องสมุดของแต่ละเมือง ต้องมา Central Public Library เพิ่งเปิดเมื่อปี ค.ศ. 2018 นี่เอง พอก้าวเข้ามาข้างในแล้วรู้สึกใจจะขาด ห้องสมุดเค้าสวยมากก ถูกจัดเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่ดีสุดในโลก แค่เดินเล่นแบบไม่ต้องอ่านอะไรก็ประทับใจแล้ว

70. คนไหนที่มาสายกีฬาแล้วอยากเห็นบรรยากาศกองเชียร์มันๆ ลองไปที่สนามฮ็อคกี้ กีฬาประจำเมืองแห่งนี้ที่คนเค้าบ้าคลั่งมาก โดยเฉพาะทีมจากรัฐอัลเบอร์ต้าที่เคยคว้าแชมป์ไปหลายสมัย การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่ช่วงตุลาคม – เมษายน ถ้าไม่ดูเดี๋ยวจะคุยกับคนที่นี่ไม่รู้เรื่อง

อาหารการกิน

71. พูดถึงเรื่องเที่ยวแล้วต้องไปลืมเรื่องกิน ค่าอาหารมื้อนึงจะอยู่ที่ประมาณ 14-20 เหรียญ ยกเว้นพวกฟาสท์ฟู้ดที่อาจจะถูกกว่านี้

72. อีกเรื่องที่เราต้องรู้คือวัฒนธรรมการให้ทิป ปกติเวลาเราไปร้านอาหาร เค้าจะให้ทิปหลักเช็คบิลประมาณ 15%-20% ของค่าอาหาร เช่น ถ้ากินไป 100 CAD ก็ต้องทิป 20 CAD

73. หรือถ้าบริการไม่ประทับใจให้ 10% ก็ยังโอเคอยู่ แต่ควรให้ รู้ไหมทำไม

74. เพราะพนักงานในร้านอาหารถือว่ามีอัตราค่าจ้างน้อยกว่าอาชีพอื่น และจำนวนไม่น้อยได้ค่าแรงเป็นรายวันหรือรายชั่วโมง ฉะนั้นทิปคือการตอบแทนงานบริการที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา 

75. เรายังสามารถให้ทิปได้กับงานบริการอื่นๆ นอกเหนือจากร้านอาหาร เช่น คาเฟ่หรือรถแท็กซี่

76. โอเค ไม่มีใครมีจับหรือประจานเราถ้าไม่ให้ทิป แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นธรรมเนียมและมารยาทซึ่งทุกคนทำกันเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรากำลังวางแผนการเงินอย่างละเอียดสำหรับการกินและเที่ยว อย่าลืมกันเงินค่าทิปออกมาด้วย

77. พูดเรื่องอาหารต่อ คาลแกรี่ก็เหมือนกับหลายเมืองคือ ไม่รู้ว่าอะไรคืออาหารท้องถิ่นเพราะรับมาหลายวัฒนธรรมทั้งจากอเมริกาและเอเชีย ถ้าให้ยกมาสักอย่างที่เด่นๆ และต้องลองก็คือ เบียร์

78. นี่เป็นเมืองที่มีคนทำคราฟท์เบียร์และเครื่องดื่มคราฟท์อื่นๆ เยอะมาก โอเค บางคนมาสายขาวก็อาจจะกลัวหน่อยๆ แต่ไม่ต้องกลัว เค้าทรีทเบียร์เป็นเครื่องดื่มอย่างหนึ่ง เหมือนน้ำผลไม้และน้ำอัดลม

79. คราฟท์เบียร์หากินได้ตามร้านทั่วไป แก้วนึงอยู่ที่ประมาณ 6-9 CAD ถ้าไม่ใช่สายแข็งก็ถามก่อนว่าแอลกอฮอล์เยอะไหม หรือถ้าไม่ไหวก็ดื่มน้ำหมักชนิดอื่นเช่นพวกไซเดอร์ก็ได้ฟีลอีกแบบ

80. ถ้าจินตนาการไม่ออกว่าคราฟท์เบียร์มันบูมแค่ไหน แค่เมืองนี้เมืองเดียวก็มีคนผลิตออกมามากกว่า 120 ยี่ห้อแล้วนะ ไม่ได้กำลังโน้มน้าว แค่เล่าให้ฟัง

81. โอเค พูดเรื่องอาหารจริงจังละ ถ้าเอาแบบง่ายๆ สไตล์สตรีทฟู้ดก็อยากให้ลอง Tubby Dog ก็คือฮอทด้อกในขนมปังนั่นแหละ แต่ที่นี่เค้าจะคอมโบด้วยท้อปปิ้งต่างๆ มากมาย ทั้งแบบฝรั่งหรือแบบเอเชีย

82. อาหารแนวนี้ก็มีเยอะ พวกแฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด พิซซ่า หากินได้ไม่ยากเลย ราคาก็แตกต่างกันไปตามแต่ละย่าน บริการ บรรยากาศ 

83. ส่วนถ้าจะเอาบรรยากาศชิวๆ สวน Prince’s Island เขาก็มีร้านอาหารอยู่เยอะ ลองไปเดินเลือกดูเอา ดูทั้งเมนูแล้วก็ราคาด้วยนะ เตือนแล้วๆ

84. อ้อ อีกสัญชาติอาหารที่ขึ้นชื่อถึงขนาดได้รางวัลมาแล้วคืออาหารเม็กซิกันจากร้าน Native Tongue ซึ่งอยู่ในเครือ YYC Fod Trucks ชื่อนี้จะเห็นบ่อยหน่อยเวลาไปงานอีเว้นท์ต่างๆ เพราะเขาคือแบรนด์ที่ขายสตรีทฟู้ดโดยเฉพาะ

85. แน่นอนว่าซื้อมาทำกินเองถูกกว่ามาก ถ้าไปอยู่ระยะยาวแนะนำว่าทำอาหารกินเอง หรือกินในแคนทีน ร้านพวกนี้เอาไว้มากินกรุบกริบตอนเที่ยว เพราะถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็หลายบาทอยู่นะ

86. พาสต้า อูด้ง อาหารไทย อะไรก็มีหมด ลองเสิร์จดูหาไม่ยาก 

เพื่อนบ้านของ Calgary

87. ถ้าเที่ยวในคาลแกรี่จนช้ำ จนหนำใจแล้ว ด้านซ้ายมือของเมืองคือแวนคูเวอร์ ซึ่งสวยไม่แพ้กันเลย ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติมาก เดินป่าเขา ส่วนเมืองก็เจริญมากๆ เอาไว้ไปเปลี่ยนบรรยากาศ

88. จากคาลแกรี่บินไปแวนคูเวอร์ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง

89. หรือจริงๆ ต้องบอกว่าคนจะไปคาลแกรี่ต้องมาที่แวนคูเวอร์อยู่แล้วเพราะเป็นจุดจอดพัก เปลี่ยนเครื่อง ใครจะถือโอกาสมาเที่ยวก่อนแล้วค่อยบินไปคาลแกรี่ก็แล้วแต่เลย

90. ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศแบบใกล้หน่อยก็ต้องขึ้นไปทางเหนือที่เมืองเอ็ดมอนตัน อยู่ในรัฐอัลเบอร์ต้าเหมือนกัน ไว้จะมาเล่าถึงเมืองนี้ในฟังใน ep ต่อไป

91. ทิศใต้ของเมืองคืออเมริกา ถ้าให้แนะนำรู้ทคือบินไปลงซีแอทเทิล เมืองเก๋ๆ ที่วัยรุ่นอเมริกาฝั่งตะวันออกชอบมา บรรยากาศก็จะต่างกันไปเลยกับแคนาดา

92. สำคัญมาก จะเข้าอเมริกาต้องมีวีซ่าเพราะเราถือพาสปอร์ตไทย ขอมาให้เรียบร้อยเพื่อลดความยุ่งยาก

93. ส่วนถ้าอยากไปเมืองทางฝั่งตะวันตกก็ไปได้ แต่แอบไกลนะ นั่งเครื่องก็เกือบ 4 ชั่วโมง ถ้าวางแผนมาแล้วและอยากเที่ยวให้ทั่วแบบไม่คิดว่าจะกลับมาอีกในเร็ววันก็ลุยเลย ไปให้ครบ

ทริคเล็กๆในการเตรียมตัวไป Calgary

94. เงินไม่พอหรอ? นักศึกษาที่มีใบอนุญาตสามารถทำงานพาร์ทไทม์ได้ ค่าแรงอยู่ที่ 15 CAD ต่อชั่วโมง แต่ต้องดูว่ากฎหมายอนุญาตให้ทำได้กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์

95. วีซ่าแคนาดาก็ของ่ายกว่าอเมริกาถ้าไปอย่างถูกต้อง สามารถเรียนให้จบแล้วสมัครงานต่อเพื่อยื่นขอวีซ่าระยะยาว ถ้าอยู่นานสัก 5-6 ปีก็ทำเรื่องสอบเป็นพลเมืองได้แล้ว

96. คาลแกรี่เป็นอีกเมืองที่ชาวเอเชียยังอยู่ไม่เยอะถ้าเทียบกับแวนคูเวอร์และโตรอนโต้

97. นั่นหมายความว่ายังมีพื้นที่ให้เราฝึกฝนภาษาอย่างเต็มที่ เพราะคนส่วนใหญ่ยังเป็นชาวแคนาเดี้ยนอยู่

98. นั่นหมายความว่ายังมีโอกาสและพื้นที่อีกมากสำหรับชาวเอเชีย โดยเฉพาะคนไทยที่มีอยู่นิดเดียว

99. โอเค ในโลกความจริง การเหยียดเชื้อชาติและสีผิวมีอยู่ในทุกสังคม และทุกประเทศ

100. แต่แคนาดาเป็นประเทศอันดับ 2 ที่มีรายงานการเหยียดเชื้อชาติน้อยสุด เป็นรองแค่เนเธอร์แลนด์ เหตุผลน่าจะมาจากประเทศนี้ถูกสร้างจากคนทุกที่นั่นแหละ

101. หรือถ้ามีคำถามอะไรแล้วอยากรู้จากปากคนในพื้นที่ KPG เขาก็หาคนมีประสบการณ์ให้คุยกันได้ เอาให้หมดข้อสงสัยแล้วไปลุยทีเดียวเลย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้ไปที่คาลแกรี่แล้วจะต้องติดใจ

สนใจเรียนต่อเมือง Calgary

แนะนำสถาบัน Bow Valley College

แนะนำสถาบัน SAIT

แนะนำสถาบัน University of Calgary