10 Minutes with Rib : เธอเชื่อว่าภาษาอังกฤษพัฒนาได้
จนตัดสินใจลาออกจากที่ทำงาน เพื่อไปแคนาดา!
“ตั้งใจเรียน ทำงาน เก็บเงิน และสร้างชีวิต” น่าจะเป็นเส้นทางในฝันของเด็กไทยหลายคนที่เชื่อว่าการประสบความสำเร็จเกิดจากชั่วโมงบินที่มากพอในโลกของการทำงาน แต่อย่างน้อยคงมี คุณริบ หนึ่งคนที่ไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และกำลังไปได้ดีในการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เธอตัดสินใจลาออก เก็บกระเป๋าเพื่อไปเรียนภาษาที่แคนาดา
อะไรที่ทำให้เธอกล้าเสี่ยงกับทางเลือกนี้ทั้งที่การหางานไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกยุคปัจจุบัน?
เพราะอยากเก่งขึ้นเลยต้องกล้า
“เราทำงานในบริษัทญี่ปุ่นมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว เวลาทำงานกับคนญี่ปุ่นก็จะใช้แต่ภาษาญี่ปุ่น แต่เชื่อไหมว่าเราฟังพวกเขาไม่ออกเลยแม้ว่าจะอยู่มานาน เพราะเป็นคนที่กลัวการใช้ภาษาต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เป็นข้อด้อยของตัวเองมาก ๆ และรู้มานานแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องทำงานร่วมกับคนเวียดนามบ่อยๆ ต้องประชุมบ่อย แล้วเราฟังเขาไม่เข้าใจ พูดไม่ออก ไม่กล้าพูด รู้สึกไม่มั่นใจ แล้วก็อึดอัดมาก ๆ รู้สึกว่าทำงานได้ไม่เต็มที่ เลยกลับมาคิดถึงเป้าหมายแรกตั้งแต่เรียนจบ
เราเคยคิดไว้ตั้งแต่เรียนจบแล้วว่าจะไปเรียนต่ออเมริกา แต่ตอนนั้นได้งานพอดีเลยอยากทำงานก่อน เพราะเป็นงานที่ตรงสายกับที่เรียนมา สุดท้ายก็กลับมาคิดเหมือนเดิมว่ายังไงก็ต้องได้ไป เพราะเรารู้จุดอ่อนของตัวเอง จริง ๆ แต่ด้วยหลายๆปัจจัยทำให้ไม่ได้เดินทางไปเรียนที่อเมริกา
เคยลองไปเรียนภาษาแบบออนไลน์มาด้วย แต่ไม่ได้ผลสำหรับตัวเอง รู้สึกว่าการเรียนการสอนไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ขนาดนั้น ไม่เอ็นจอยเลย เรียนหนัก และไม่ได้เรียนทุกวัน อยากเอาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า จะได้เรียนรู้ได้เร็วกว่า ปัญหาหลักๆ ของเราเลยก็คือเรียบเรียงประโยคไม่ถูก เวลาต้องพูดจะคิดตีกันอยู่ในหัว และพูดออกมาไม่ได้
เมื่อมีโอกาสอีกครั้ง เราก็หาข้อมูลประเทศอื่น ใช้เวลาไม่นานก็ไปขอวีซ่าแคนาดาเลย จริงๆ ตอนนั้นในใจมีตัวเลือกอยู่ 2 ที่ คือ แคนาดากับออสเตรเลีย แต่พอไปดูรีวิวมาเจอว่าออสเตรเลียมีคนไทยเยอะมาก แต่แคนาดาคนไทยน้อยมาก เราอยากได้ภาษาจริง ๆ เลยเลือกแคนาดาเพราะเหตุผลนี้เลย”
28 สัปดาห์แห่งความเปลี่ยนแปลง และชีวิตที่เปลี่ยนไป
“พอรู้ว่าต้องมาแคนาดาก็หาข้อมูลใน Youtube เลย จนมาเจอก้อปันกัน รู้สึกว่าพี่คนนี้เขาให้ข้อมูลเยอะดี เราเลยลองทักไป เขาก็แนะนำดี ตอบเร็ว ให้ข้อมูลเพิ่ม ที่ประทับใจเลยคือเรายังไม่ชำระอะไรสักอย่าง แต่เขานัดคุยเรื่องความต้องการของเราตั้งแต่แรก เลยรู้สึกว่าเขาใส่ใจดีมาก จำได้ว่าตอนนั้นต้องเลือกระหว่าง ILAC (International Language Academy of Canada) กับอีกที่นึง เราก็ถามพี่กันต์ว่าต่างกันอย่างไร เขาบอกว่าดีเหมือนกันนะ แต่ที่เราเลือก ILAC เพราะว่าสถานที่เขาดูใหม่ โมเดิร์น กว้าง พาร์ทเนอร์ของทางมหาวิทยาลัยก็เยอะ น่าเชื่อถือ
เรามีเวลาเตรียมตัวค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับคนอื่น เพราะทำงานด้วยล่ะ มาถึงแคนาดาวันเสาร์ เริ่มไปเรียนคลาสแรกวันจันทร์เลย (หัวเราะ) โปรแกรมที่เลือกเรียนเป็น General English เน้นการฝึกทักษะ Conversation เพราะรู้แล้วว่าตัวเองมีจุดอ่อนตรงนี้ ก็อยากพัฒนาให้ดีขึ้นไปเลย
เราได้เห็นความเปลี่ยนในตัวเองจริง ๆ จากแค่ไม่กี่เดือนที่ได้มาเรียน เดือนแรก ๆ ที่ไปเราอยู่กับโฮสต์ แต่พอมีเพื่อนที่รู้จักกันก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่อยู่ เดือนที่ 4 เราย้ายไปอยู่กับเพื่อนที่เจอกันตั้งแต่เดือนแรกเพราะสนิทกันอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน ทีนี้ละได้ใช้ภาษาทุกวันเลย เพื่อนที่คบกันมีทั้งญี่ปุ่น และเกาหลี นี่กลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มพูดภาษาญี่ปุ่นได้แล้วด้วย (หัวเราะ)
ตอนแรก ๆ ที่เจอเพื่อนจากประเทศอื่นก็มีแอบกลัวกลัวนะ คลาสแรก ๆ ที่เข้าไปฟังไม่เข้าใจเลย แต่พอช่วงหลังก็เริ่มจับบริบทได้ หลัก ๆ ก็น่าจะเป็นที่เราไม่เปิดใจ เหมือนเรากลัวมาตลอด แต่พอเราตั้งใจฟังแล้วเข้าใจ เราก็รู้สึกว่ามันได้ปลดล็อคตัวเอง จริง ๆ พื้นฐานคนไทยไม่ได้แย่มากจนน่ากลัว เรามีความรู้เรื่องแกรมม่าเยอะ แต่มีความกล้าในการพูดน้อย ถ้าปรับตัวเร็วก็จะไปได้เร็ว พออยู่มาจนครบ 5 เดือนก็รู้สึกว่าคิดถูกมาก ๆ ที่วันนั้นตัดสินใจลาออก และพาตัวเองมาที่นี่ อย่างแรกเลยก็คือเรื่องภาษา เรากล้าพูดมากขึ้น ไม่อาย ไม่กลัว คนที่นี่ใจดี ใช้ผิดเขาก็ไม่ว่าเรา ช่วยแก้ให้ แล้วก็เรื่องการใช้ชีวิต เราได้วางแผนด้วยตัวเองมากขึ้น แทบทุกอย่างเลย
ชีวิตนอกห้องเรียน และความจริงที่ต้องเจอ
“ชอบที่นี่เพราะเลิกเรียนเร็วด้วย การบ้านก็มีบ้าง บางวันก็เยอะบางวันก็ไม่เยอะ แล้วแต่มาก ๆ อาจารย์ที่เรียนปัจจุบันบอกว่าถ้าเราไม่เข้าใจอะไรให้ ไปถาม เขาก็จะส่งลิ้งก์มาอธิบายเพิ่มเติม แล้วจะพูดต่ออีกทีในห้องเรียน เพื่อน ๆ ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วย ห้องเรียนที่นี่มีแค่ 14 คนเอง เรารู้จักกันหมด มีทั้งเอเชีย และประเทศอื่น ๆ อย่างเพื่อนจากเม็กซิโกก็พูดเก่ง ทุกคนน่ารักกับเราหมดเลย รวมทั้งคนแคนาดาก็น่ารักกับเรามากโดยไม่ได้สนใจว่าเรามีเชื้อชาติอะไร หรืออยู่มานานแล้วหรือยัง
กิจกรรมหลังเลิกเรียนก็แล้วแต่วัน ส่วนใหญ่ไปคาเฟ่กับเพื่อน ไปห้องสมุด ซึ่ง 2-3 เดือนแรกไปห้องสมุดทุกวัน เพราะไปทำการบ้าน แต่หลัง ๆ ก็เที่ยวบ่อยขึ้น เหมือนเริ่มใช้ชีวิตได้แล้ว อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งไปเทรกกิ้งมา หลังเลิกเรียนนี่แหละ สวยมาก เหนื่อยมาก แต่อากาศดีไม่ไหว แพลนเอาไว้ว่าหลังเรียนจบจะอยู่ต่ออีกสัก 1 เดือน อยากไปเที่ยวที่ไกลกว่านี้หน่อยเพราะตอนเรียนอยู่แค่ในแวนคูเวอร์
กลับถึงไทยแล้วคงทำงานหาเงินก่อน (หัวเราะ) ยังไม่มีแพลนต่อโท คงกลับไปทำในสายงานเดิมที่เคยทำ แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว อยากทำในบริษัทฝรั่งที่น่าจะได้ใช้ภาษามาก ๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้ากลับไปแล้วไม่ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติก็จะลงคอร์สเรียนอยู่แล้ว เพราะส่วนมากทางบริษัทเขาก็จะมีคอร์สให้ลง ก็น่าจะไม่ทำให้ภาษาหายไป เป็นเรื่องของทัศนคติด้วย ถ้าพูดได้แบบไม่มีความกลัวเราว่ายังไงก็ดีกว่าเดิม
ใครที่กำลังจะมาเรียนต่อที่นี่ก็ลองปรึกษาก้อปันกันดูได้
วันที่ลงเครื่องที่แวนคูเวอร์เราก็เป็นผู้หญิงคนเดียว ไม่รู้จักใครเลยสักคน แต่ก็คิดว่าเป็นครั้งเดียวในชีวิต บอกตัวเองตลอดว่าเรามาใช้ชีวิต เลยพยายามไม่กลัว อะไรที่ไม่เคยทำก็ลองทำ ที่นี่เขาเห็นคุณค่าของทุกคน คนพิการ คนชรา ก็มีบริการหรือออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกมาเพื่อเอื้อให้ใช้ได้โดยเฉพาะ
ใครที่อยากมาแต่ยังกังวล คือ เลิกกลัวได้เลย เพราะเอกสารที่ยื่นเอกสารวีซ่าแคนาดา ไม่ต้องสัมภาษณ์ แต่ต้องเขียน Statement Of Purpose อธิบาย ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก มีแค่ต้องแปลเอกสารหลายชิ้น แต่รับรองว่าคุ้ม มันเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย ดีใจที่ได้มาที่นี่
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ILAC – คลิก